วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

"เมล็ดเจีย" ประโยชน์และความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ควรรู้

 


เมล็ดเจีย หลายคนอาจเคยรับประทาน หรือเคยพบเห็นตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งคุณเคยสงสัยไหมว่าเมล็ดเจียนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร แล้วถ้าหากรับประทานในปริมาณเยอะไปล่ะ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือเปล่า นี่อาจเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย เราจึงจะมานำเสนอทั้งเรื่องของประโยชน์และความเสี่ยงของเมล็ดเจียให้ได้รู้

 

เมล็ดเจีย คืออะไร

เมล็ดเจียถือเป็นพืชทะเลทรายที่ประกอบไปด้วยคุณประโยชน์ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ แคลเซียม เป็นต้น ซึ่งจากที่กล่าวมาคุณจะเห็นว่าเมล็ดเจียมีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพอย่างหลากหลาย นอกจากนี้ มักมีวิธีการรับประทานด้วยการนำเมล็ดเจียผสมเข้าไปในอาหาร เครื่องดื่ม โรยบนซีเรียล ผัก ข้าว และโยเกิร์ต

 

ข้อมูลทางโภชนาการ

เมล็ดเจียปริมาณ 28 กรัม มีแคลอรี 131 ไขมัน 8.4 กรัม คาโบไฮเดรต 13.07 กรัม ไฟเบอร์ 11.2 กรัม โปรตีน 5.6 กรัม และไม่มีส่วนประกอบของน้ำตาล

 


คุณประโยชน์

หากคุณรับประทานปริมาณ 1 ออนซ์ต่อวัน คุณจะได้รับแคลเซียมถึง 18% ฟอสฟอรัส 27% แมงกานีส 30% ตามมาด้วยโพแทสเซียมและทองแดง ซึ่งเมล็ดเจียจะมีโอเมก้า 3 แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไฟเบอร์มากกว่าเมล็ดแฟลกซ์ โดยเมล็ดเจียสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสุขภาพต่าง ๆ ได้ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และอัตราความเสี่ยงอื่น เป็นต้น

 

มีไฟเบอร์สูง

แนวทางการบริโภคอาหารของประเทศอเมริกาในช่วงปี 2015-2020 จะแสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 50 ปี ควรบริโภคไฟเบอร์ 30.8 กรัมต่อวัน ส่วนในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี ควรบริโภคปริมาณ 25.2 กรัมต่อวัน และสำหรับผู้ชายที่มีอายุมากว่า 50 ปีขึ้นไป บริโภคปริมาณ 28 กรัมต่อวัน ผู้หญิงบริโภคปริมาณ 22.4 กรัมต่อวัน โดยวิธีที่ง่ายที่สุดในการเลือกรับประทานไฟเบอร์ คือ ผลไม้ ถั่ว ผัก ธัญพืชที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าเพียงคุณรับประทานเมล็ดเจีย 1 ออนซ์ ก็ทำให้คุณได้รับไฟเบอร์ 10 กรัม ซึ่งถือเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งที่ผู้หญิงอายุมกกว่า 50 ปี ควรรับประทานใน 1 วัน

 


ช่วยลดน้ำหนัก

อาหารที่มีเส้นใยสูงสามารถช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานมากยิ่งขึ้น และมีแคลอรีต่ำด้วย โดยในการลดน้ำหนักมักจะมีการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร ซึ่งเมล็ดเจียนี่แหละถือได้ว่ามีไฟเบอร์สูง มีกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก สิ่งเหล่านี้นี่เองที่อาจมีประโยชน์สำหรับการลดน้ำหนักของคุณ แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่เพียงพอว่าเมล็ดเจียจะใช้ลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่

 

ช่วยรักษาถุงผนังลำไส้อักเสบ

อาการถุงผนังลำไส้อักเสบ อาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อย่างเช่นเมล็ดเจีย สามารถช่วยลดอาการนี้ได้ ซึ่งลำไส้จะจะดูดซึมน้ำ และทำให้การอุจาระง่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสามารถช่วยลดความดัน หรือการอักเสบบริเวณลำไส้ได้ด้วย

 


ช่วยลดโรคหัวใจกับหลอดเลือด และลดคอเลสเตอรอล

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานไฟเบอร์เพียง 10 กรัมต่อวัน สามารถลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลได้ดี โดยการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สามารถป้องกันเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบ รวมทั้ง ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจกับหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง และโรคอ้วน

 

ช่วยลดการเกิดโรคเบาหวาน

ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอย่างเมล็ดเจีย สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เพราะไฟเบอร์ในเมล็ดเจียนั้นช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่าอาหารที่มีไฟเบอร์ 14 กรัมต่อจำนวน 1,000 แคลอรีสามารถลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวานชนิดที่ 2

 

ช่วยย่อยอาหารและดีท็อกซ์

เมล็ดเจียสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูก ทำให้ขับถ่ายทุกวันจึงทำให้สารพิษที่เกิดขึ้นทุกวันถูกขับออกผ่านทางน้ำดีกับอุจจาระ และช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

 

มีกรดไขมันโอเมก้า 3

เมล็ดเจียอุดมไปด้วยไขมันโอเมก้า 3 ที่ชื่อว่ากรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิกที่อาจป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ ซึ่งกรดชนิดนี้ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ ดังนั้น เราจึงต้องรับประทานจากอาหารต่างๆ เอง

 

ความเสี่ยงในการรับประทานเมล็ดเจีย

คุณจะเห็นได้ว่าเมล็ดเจียอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่มากมายหลายประการ แต่การรับประทานเมล็ดเจียก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะ เนื่องจากเมล็ดเจียสามารถดูดซึมน้ำได้ถึง 27 เท่า ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน ผู้ที่มีอาการแพ้อาหารโดยเฉพาะงาดำกับเมล็ดมัสตาร์ด ผู้ที่ใช้ยาลดความดันโลหิต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานเมล็ดเจีย และเด็กเล็กไม่ควรรับประทานเมล็ดเจีย ส่วนผู้ที่รับประทานเมล็ดเจียควรรับประทานอย่างเหมาะสม โดยควรเลือกอาหารที่มีความหลากหลายด้วย

 

ขอบคุณข้อมูล : sanook

ประโยชน์คับเมล็ดของธัญพืช 6 ชนิด

 

 


วารสารการแพทย์จาก The New England ตีพิมพ์ข้อมูลว่า คนที่กินธัญพืชเพียงวันละหนึ่งกำมือ มีโอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น ทั้งยังพบว่าในธัญพืชแต่ละชนิดยังมีสารแอนติอ็อกซิแดนท์ที่ช่วยต้านโรคมะเร็ง และบางชนิดช่วยลดระดับคอเลสตอรอลได้ด้วย

 

เพราะอย่างนี้เราจึงรวบรวมธัญพืช 6 ชนิด ที่มีคุณสมบัติช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนมาบอกต่อกัน!!!

 


1.อัลมอนด์

อัลมอนด์ ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 575 กิโลแคลอรี่ ประกอบไปด้วยโปรตีน และใยอาหาร เป็นแหล่งรวมวิตามินอี ทองแดง แมกนีเซียม และมีแคลเซียมสูง มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก เป็นโรคหัวใจ หรือกำลังเป็นโรคเบาหวาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้อีกด้วย

 


2.แมคคาเดเมีย

แมคคาเดเมีย ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 718 กิโลแคลอรี่

เมื่อเปรียบเทียบกับถั่วชนิดอื่น ๆ แล้ว เช่นอัลมอนด์และ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย มีไขมันสูงและโปรตีนต่ำแต่มีจำนวนของไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุด

นอกจากนี้ยังมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและใยอาหาร เช่นเดียวกับแคลเซียม ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม โซเดียม ซิลิเนียม เหล็ก วิตามินบี และไนอาซิน

รวมทั้งการเสริมสร้าง การปกป้องการเพิ่มขึ้นของปริมาณระดับคอเลสเตอรอลและไลโปโปรตีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

 


3.เม็ดมะม่วงหิมพานต์

มะม่วงหิมพานต์ ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่

มีโปรตีน และมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เป็นแหล่งอุดมสารอาหารมากมาย อย่างทองแดง แมกนีเซียม ทั้งยังช่วยลำเลียงธาตุเหล็กได้ดี ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

 


4.เมล็ดฟักทอง

เมล็ดฟักทอง ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 619 กิโลแคลอรี่

มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน ไขมัน สังกะสี เหล็กฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร วิตามินเอ

พร้อมทั้ังช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานปกติ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดนิ่ว และมีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

 


5.เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวัน ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 584 กิโลแคลอรี่

ประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส อีกทั้งยังมีวิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี และวิตามินเค โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินอีจะมีมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ (มากกว่าเมล็ดถั่วเหลืองและเมล็ดข้าวโพดกว่า 3 เท่า) โดยประโยชน์ของวิตามินอีนั้นจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาผิวพรรณให้แลดูสดใส เยาว์วัย ช่วยทำให้ระบบสืบพันธุ์เป็นปกติ ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ช่วยป้องกันหัวใจวาย ช่วยบำรุงสายตา และยังอาจช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกด้วยก็เป็นได้

 


6.เมล็ดเชีย

เมล็ดเชีย ปริมาณ 100กรัม ให้พลังงาน 486 กิโลแคลอรี่

เป็นธัญพืชที่มีคุณสมบัติเป็นทั้ง Super Fruit และ Super Seed อัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ ไฟเบอร์ กรดไขมันดีชนิดโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 แคลเซียม สารต้านอนุมูลอิสระ และโปรตีน ช่วยปรับสมดุลระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ช่วยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด จึงมีคุณสมบัติช่วยต้านโรคเบาหวาน

 

 ขอบคุณข้อมูล https://www.facebook.com/byChaibakery/